วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

รอยจำดอกไม้ ผีเสื้อ เมษา 2009






APRIL 14,2009 ผีเสื้อหนอนคูนตั้งใจหลบเมฆฝนตั้งเค้าใต้ใบตองด้านใน




APRIL 14,2009 ผีเสื้อหนอนคูนตั้งใจหลบเมฆฝนตั้งเค้าใต้ใบตองด้านใน แม้ปีกก็หยุดนิ่งสนิท ขนาดของใบตอง สีเขียวอ่อน ยิ่งเป็นใบด้านในที่พับลงมาทั้งสองของใบยาว กลมกลืนกับสีปีกของผีเสื้อชนิดนี้มาก ยิ่งเปรียบเทียบขนาดของผีเสื้หนอนคูนตัวนี้กับใบตองใต้ชายคาบ้าน….ขนาดที่แตกต่างกัน 1ต่อ200





เรามีเวลามากพินิจมองเห็นความฉลาดของผีเสื้อหนอนคูนตัวนี้ นานเท่าที่ฝนป่าโปรยปรายลงหุบเขาแห่งนี้ แต่เมื่อฝนพรำจากไป เราก็ร้องบอกตัวเองในใจ ฝนทำไมช่างตกน้อยจริงๆ แม้จะตกวนอยู่หลายรอบ แต่ไม่มีฝนหนัก ต้นไม้และสัตว์ป่าในละแวกนี้คิดเห็นเหมือนกับเราใช่ไหม








ภาพประกอบ ดอกกาหลงสีขาว

มะม่วงแก้วร่วงกลาดเกลื่อน สุกเน่ากระจัดกระจายทั่วผาด่าง กระรอกนกป่าทั้งหลายกินกันไม่ทัน แต่ต้นมะม่วงอกร่องกิ่งสูงห้อยหนัก ยังไม่สุก ชาวผาด่างรอคอยมะม่วงอกร่องห้อยเป็นพวง พูดกันแต่ว่า ยังไม่สุกอีกเหรอ ที่นี่ธรรมชาติสอนเทคนิค…มะม่วงจะเริ่มสุกเมื่อไร ง่ายเสียเหลือเกิน เราให้เพื่อนชาวกระรอกเป็นผู้ช่วย หากเจ้าเพื่อนกระรอกเริ่มป้วนเปี้ยนแถวกิ่งมะม่วงต้นไหนหรือไม้ผลเมื่อไหร่ ให้รู้ว่า ผลไม้ต้นนั้นเริ่มสุกกันแล้ว








APRIL 15,2009 เสียงเพื่อนวิหกแสนรักหายไปตั้งแต่ต้นเดือนเมษา เรายังจำได้ดี common kingfisher เธอร้องกระซิบให้เราฟังถี่ๆมากและบ่อยเหลือเกินเมื่อปลายมีนาที่ผ่านมา



สัญญาคือสัญญา ทุกปี เธอแสดงออกต่อธรรมชาติแห่งนี้ การพบกันจะเกิดขึ้น ปลายสิงหา หรือต้นกันยา การบินอพยพจะเริ่มขึ้น จบลงเจ้าจะพำนักที่นี่จวบจนปลายมีนา





วันนั้นของสิงหา สำหรับเจ้า มีอ่างน้ำผาด่างเป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้เล่า เจ้ากับพวกพ้องถึงปลายทางบ้านอีกหลังหรือยัง หรือว่ายังอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับ









APRIL 21,2009 ดินสีแดงแห้งแข็งบอกว่าที่นี่ไม่มีฝน ไม่ต้องถามใคร เราเองรู้คำตอบว่าฝนจากไปนานเหลือเกิน ต้นไม้ใบใหญ่เต็มต้นเหี่ยวลีบห้อยตก ฟ้องย้ำให้เรารู้ว่า ต้นไม้ทนความแห้งแล้งไม่ไหวแล้ว ช่างแตกต่างจากเมื่อได้รับฝน ใบไม้ต่างสดใสร่าเริงปลิวหยอกกับลมเล่นเย้าหยอกแสงอาทิตย์ให้สะท้อนตา







เอื้องเขาแกะ หรือเอื้องเขาควาย ขนาดดอก 1.5-2 ซ ม
ฤดู ออกดอก เมษา- มิถุนา
ป่าดิบแล้งทุกภาค ยกเว้นภาคใต้
คัดลอก จากหนังสือกล้วยไม้ไทย ของ ร.ศ อบฉันท์ ไทยทอง



แม้แต่บางครั้งให้น้ำค้างเกาะยามเช้าก่อนเหือดแห้งทันสายตะว้นจะแรงขึ้น บางทีมีความใจดีขยับกระเพื่อมบอกเรา ให้รู้ว่านกหรือผีเสื้อแมลงบินเข้าเกาะทักทายหากิน หลบร้อน ความชอบในตัวเรา...มองด้วยกล้องสองตาคู่ใจอยากรู้ว่าเป็นนกตัวไหนกัน

ใจพาตัวเรามุ่งเดินไปที่โดม ที่นั่นกระถางเฟรินข้าหลวงอาการไม่ดีมากนัก อาจเพราะโดนแดดแรงมากเกินไปจากทุกปี แม้จะตั้งอยู่ที่เดิมมานาน5ปีแล้ว เรารดน้ำให้ต้นไม้และพื้นในโดมจนชุ่มฉ่ำ ไม่นาน นกเข้ามาบินอาบน้ำ เป็นสิ่งที่เราชอบทำ…แอบเติมเต็มไว้ให้พวกเจ้าทุกอาทิตย์ เรื่อยไป




เริ่มหลายคืนมาแล้ว นกแสกเจ้าร้องเพลงในยามค่ำ COLLARED SCOPS-OWL ไม่ดึกเกินไป ชื่อเพลง 12วิ ให้เราฟังอีกแล้ว ช่วงเวลาการรับฟังเพลงของเจ้าใน 1ปี กลางเมษา เวลาของเจ้ากับเราทุกคืนเหมือนเดิมคือภาษาแห่งความกรุณา
เจ้าทำให้เราคิดเข้าข้างตัวเองได้ มีเจ้าเลือกอยู่ที่นี่ บ้านป่าผาด่างแห่งนี้






เราไม่กล้าเอ่ยปากให้หลานชายชื่อจ๊อบไปถ่ายรูปเจ้าของเสียงเพลง12 วิ นกแสกเพื่อนร่วมป่า เราอยากให้จ๊อบเป็นฝ่ายถวิลหา อยากถ่ายรูป อยากพบเจ้ามากกว่า


ฟังเพลง 12 วิบอกร้อง พอเพียงว่าเจ้าอยู่บ้านเดียวกับเราก็มากเกินตามออกไปรบกวน ยามนี้เป็นเวลาหากินของเจ้าค่ำคืนเมษา



ริมห้วยชายน้ำลดน้อยลงไปมาก กว่าเราคาดคิด สายเถาวัลย์โยงเยง หลากหลายอารมณ์เพลินด้วยกิ่งก้านของเจ้าเอง เจ้าอารมณ์ดีเช่นนี้เสมอหรือ ไม่ไกล ต้นก้านเหลืองวัยรุ่นมีลูกเถาวัลย์สีหลืองกลมห้อยเป็นพวงอยู่ข้างๆลำห้วยขอบปากแห้งน้ำลด







ดอกกล้วยไม้ ลายเสือปลา กล้วยไม้เฉพาะถิ่นบานอาบแสงอาทิตย์อ่อนๆ และไหวนิดเมื่อลมจับเจ้าไกวน้อยๆ สายลมอีกเหมือนกันทำลายการอ่านหนังสือ ของเรา AT THE BACK OF THE NORTH WIND



หนังสือปกสีฟ้าเป็นฝ่ายมองเราหลับใต้ฟ้าใบไม้สีเขียวหมู่หนาร่มคลื้ม ตัวเรานอนหลับสบายบนเตียงเหล็กสนาม สายเถาวัลย์โยกเอนไหวอาศัยต้นหนาใหญ่ของใบโตเจ้าก้านเหลือง ปีนี้เจ้ามีมากกว่าปีก่อน เจ้าจะโตขึ้นและเยอะกว่านี้อีกหรือเปล่าในปีหน้า







APRIL 22,2009 เสียงใสร้องแต่เช้าตรู่บนทางเดินแห้งแล้งสู่หน้าร้านของชำ เสียงดังไม่ไกลเหมือนใกล้และใกล้เข้ามา puff-throated babbler จะใช่คู่เดียวตรงบ้านริมน้ำ หรือเป็นอีกคู่ที่แสนจะใจดีอาศัยรอบๆโดมหลังคาสูงมีฝาห้องเป็นต้นไม้นานาพรรณ เจ้าคู่นั้นชอบออกมาดีใจใกล้ชิดเรา เมื่อรดน้ำให้พื้นโดมชุ่มน้ำจนเป็นแอ่ง และเจ้าชอบตีปีกเล่นน้ำในแอ่งนั้นเสียเหลือเกิน

หน้ากระจกล้างหน้าด้านนอกเรือภูสีหมอก เจ้ากางเขนบ้านบินเข้ามาตีกระจก เราบอกเจ้าไม่ได้ว่านกตัวนั้นไม่ใช่คู่แข่งความหล่อของเจ้าเลย นี่หมายความว่าเจ้ายังไม่มีความรักใช่ไหม ความคิดเราไปไกลกว่านั้น


อย่างตั้งใจเอาถาดดินเผาเก่าใส่น้ำแค่ครึ่งเดียววางไว้ในอ่างล้างหน้าอีกที ต่อไปนี้เจ้านกกางเขนรูปหล่อมีอ่างเล่นน้ำเพิ่มอีกแห่งหนึ่งในอาณาจักรบ้านป่าของเรา

เรื่องประหลาดใจ นกขมิ้นท้ายทอยดำ3 ตัว บินข้ามฝั่งให้เราเห็นแจ่มชัด เวลานี้ป่าแห่งนี้ไม่ใช่บ้านของพวกเจ้า การอพยพบินกลับทำไมจึงมีตกค้าง หรือโลกกำลังเปลี่ยนไป สิ่งดีๆกำลังเกิดขึ้น หรือสิ่งเลวร้ายบอกกล่าวอะไรพวกเจ้าหรือ















วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ประชาธิปไตยของฝรั่งหรือ สยามเมืองยิ้มให้กลับมา ( ภาค2)








ลองมองย้อนกลับเรามีสีของตัวเองแล้วกันทุกคนและนานเท่าไรแล้ว

คุณสีแดง คุณสีเหลือง คุณสีขาว คุณสีน้ำเงิน สีของอุดมการณ์…คุณคืออะไร

สำหรับเหตุผลที่ต้องวางประชาธิปไตย…เป็นเพราะ

เราอาจเจ็บป่วย…อ่อนแอและเหนื่อยล้า เบื่อกับสงครามพูด ฝ่ายถูกหรือผิด โดยมีสื่อบิดเบี้ยวเป็นตัวทำลายฐานการส่งข้อมูลที่เป็นกลาง บุญและบาปหายไป การเสนอความจริงเพียงเสี้ยวของดวงจันทร์แล้วแต่หันมุมไหนของคืนแรม คืนค่ำ

หาหนทางเยียวยาให้ตนเองกับทุกคนในครอบครัว ปัญหาครอบครัวกับการเมือง ในบ้านของเราครอบครัวใหญ่ บ้านสี่หลังติดกันหมด ระยะเวลาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน เราคิดเอาเอง ญาติเราคนนี้ ไม่สนใจเรื่องการเมือง แต่ญาติบางคนรู้ ทุกคนจะเปลี่ยนเรื่องคุย หรือหากเปิดทีวี จะหรี่เสียงลง ทุกเย็นทุกคนจะมากินข้าวบ้านหลังใหญ่ ญาติเราคนนี้อยู่ในหนึ่งของสี่หลัง

เมื่อสงกรานต์บางคนแยกไปเที่ยวกันเองกับครอบครัวของตนเอง ญาติเราคนนี้ไปเที่ยวบ้านภรรยา กับพ่อแม่ของตัวเองเข้าวัยเกษียร ลงมาจากจังหวัดแพร่ พี่สาว พี่ชาย ครอบครัวพี่ชาย ไปพบเจอญาติพ่อแม่พี่น้องทางภรรยาอยู่ทางทิศตะวันออก จันทบุรี


ในขณะที่กรุงเทพกำลังเข้มข้น ดุเดือด มีเสียงปืน ปิดถนน จราจน มีขู่ระเบิดรถแก๊ส มีทหาร ตำรวจ มีชาวบ้าน ชุมชนออกมาต่อต้าน… จนมีการตาย ทุกคนทุกถิ่นต่างจดจ้อง เปิดทีวี ทุกร้านอาหารแวะจอด ข้างทางซื้อของกิน ชาวบ้านในตลาด ในปั้มน้ำมัน ชายหาดทะเล บนรถเสียงโทรศัพท์ เพื่อนๆ


เราเองซึ่งตัดสินใจไปอีกทิศหนึ่งและมีโปรแกรมการเที่ยวเหมือนกัน คอยโทรถาม สถานะการณ์ต่อกัน อาหารทุกมื้อ มื้อเย็นในวงร่ำสุราครบพี่น้องพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายแต่ต่างทิศของแผนที่เมืองไทย


จนดึก ญาติคนนี้เดินออกจากวงอาหารวงเหล้าอย่างเงียบๆ ไปนั่งร้องไห้คนเดียว และไม่สามารถหยุดกั้นความคิดแตกต่างแอบเก็บซ่อนไว้อย่างสุภาพอ่อนโยน กลายเป็นระเบิด….แรงเก็บกดไว้ลึกตั้งแต่แรกๆของการชุมนุมปีพ .ศ.2549 ความอึดอัดใจแน่นแตกระเบิดออกมา หัวใจยับเยินขมขื่นทำให้พลังทำลายเร็วและแรงเข้มข้น



ฉีกบาดกระจายสู่พ่อแม่พี่น้องทั้งสองฝ่ายต่างต้องตกตะลึง ขมขื่นรันทด อะไร ทำไม อย่างไรและเมื่อไหร่ ทั้งหมดเห็นเป็นหนึ่งเดียวแต่กลับมีแตกต่างด้วยหรือ ในครอบครัว…คนนี้ทุกคนในครอบครัวลงความเห็นว่าเป็นที่รักความหวังและสำคัญดูว่าจะใจเย็นรับฟังได้เสียทุกเรื่องกับปัญหาของใครก็ได้ในครอบครัว

ความเมาคือความอิสระปลดสลักระเบิดออกมาด้วยตัวมันเอง ญาติต่างๆเจ็บปวด และไม่มีใครพูดเรื่องการเมืองอีก ปล่อยให้ความเกรงใจ รับรู้สิทธิของแต่ละบุคคลถูกเอามาแบ่งกั้น ทุกคนคุยกันเรื่องดีๆแต่ฝืดๆ เก็บบาดแผลนั้นไว้ ทุกคนใช้วิธีเงียบอดทน ฝืนกลั้นเพื่อเลียแผลรักษาตัวเองไปพรางๆ แต่ไม่มีใครช่วยเหลือใครต่างปกปิดแผลนั้น



ทุกคนปล่อยให้ตัวเองป่วยและใช้ความรักเสแสร้งคุยเรื่องอื่น หัวเราะฝืด ยิ้มฝืดๆ พี่สาวเราร้องไห้สงสารญาติเราคนนี้ และตัวเราก็ต้องวนเวียนว่ายวนในความคิดปนเป หาที่มา ที่ไป


ญาติคนนี้กลายเป็นคนในบ้านทุ่มเทความสงสาร พวกเรานึกถึงเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน เพื่อครอบครัว เพื่อทุกคนมีความสุขทุกวัน ไม่เคยมีทีท่าให้รู้ว่าทุกเย็นของการมาทานข้าวที่บ้านหลังใหญ่ คนนี้ต้องปิดความรู้สึกตัวเอง ยิ้มแย้มหัวเราะช่วยตักข้าว กินข้าวพร้อมกัน คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ นานอยู่หลายปี



เรื่องที่คุยบางครั้งก็มีเรื่องการเมือง ยิ่งเหตุการณ์มีเสียงปืน มีการทุบตีจากฝ่ายตรงข้าม มีสีสันเหมือนภาพยนต์เรื่องยาว ทุกอย่างในใจทุกคนกำลังเข้มข้นฝักใฝ่ประชาธิปไตยในมุมมองของตัวเอง ยังไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร รู้แต่ว่ารุนแรงขึ้นทุกวัน และไม่อาจบอกได้เลยว่า มีความสนุก มีความสะใจ ดีใจ เสียใจเพราะพวกเราเอาตัวเองเข้าไปแสดงจริงในมินิซิรีย์บางตอนบางฉากด้วยด้วย






เวลาแห่งโอกาสต้องถูกลิขิตมาถึง



ในวงอาหารเย็นวันหนึ่ง 20/4/52 เรานำบทความเรียงนี้ไปลงห้องการเมือง ของพันทิพ และเมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นบวก เรารีบนำความเป็นบวกพร้อมความสุขใจมั่นใจไปที่โต๊ะอาหาร ทุกคนเกือบ20 ชีวิต เราค่อยๆเล่าว่าเราเขียนอะไรลงไปบ้าง สุดท้ายเสียงดังของเราบอกว่า ในบ้านนี้เราจะไม่มีประชาธิปไตย





แต่เราจะหันกลับเอาประเพณีดั้งเดิมของไทยมาพูดมาใช้ ทุกคนเริ่มเงียบหลังจากขอแกมบังคับว่าให้เราหยุดพูดเรื่องการเมือง การเล่าถึงเนื้อหาใจความข้อเขียนอะไรบ้าง เปรียบเทียบวัฒนธรรมดั้งเดิม ของคนไทยกับประชาธิไตย




ทุกคนเงียบกว่าเดิม…..หยุดฟังและค่อยๆยิ้มให้กำลังใจเราเล่าต่อไป เสียงของเราดังฟังก้องได้ยินไปทั่ว เราแอบมองญาติคนนั้น สิ่งที่เราเห็น รอยยิ้มอย่างสดใสและสบตากับเราอย่างขอบคุณ พี่สาวของเรา คะยั้นคะยอให้เราพูดต่อ ว่าเขียนอะไรอีก เรามาถึงคำว่าสยามเมืองยิ้ม




หน้าที่ผู้ใหญ่คือผู้ให้ ทั้งความเมตตา กรุณา ทุกคนจะเลี้ยงดูแลกันไป คนแก่เลี้ยงเด็ก คนวัยหนุ่มสาวต้องดูแลคุณย่าคุณยาย รุ่นต่อรุ่น สำคัญเด็กต้องเคารพผู้ใหญ่ ไม่มีใครเสมอใคร มีปมครอบครัวผูกพันธ์เหนีวแน่น เราแน่ใจอย่างไม่ต้องสงสัย




แสงสว่างแห่งความชื่นใจ เป็นสุขอย่างแท้ของครอบครัวปรากฎขึ้นในบ้านนี้ ในห้องอาหาร ทุกคนปลดโซ่ออกแล้วทุกคน ในบ้านนี้เราจะไม่ใช้ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยปกครองล่ามผูกพวกเราได้เมื่อพวกเราอยู่นอกบ้าน แต่ในบ้านวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมจะปกครองแทน ผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้นำที่ดี และพี่ดูแลน้อง น้องดูแลน้องเล็กคนถัดไปเท่านั้นเอง




เราสามารถเยียวยาความเจ็บปวด เปิดสะเก็ดแผลทุกคน และทายาปากแผลของทุกคน สุดท้ายพันผ้าพันแผลด้วยการสวมกอดทุกคน แค่เพียงพาพวกเราครอบครัวนี้ย้อนกลับไปเป็นเต่าโบราณ


บ้านของเราเป็นบ้านคนไทยแท้หรือ บ้านเราคงไม่เหมาะกับวิถีประชาธิปไตย เราไม่มีคำตอบให้ใคร ประชาธิปไตยอาจไม่มีภาษาคำว่าเกรงใจ หรืออย่างไร แต่เมื่อเราเอาประชาธิปไตยทิ้งไว้หน้าบ้าน ครอบครัวของเราเรียกย้อนความสุขกลับมาจริงๆ อย่างเห็นได้ชัดและรวดเร็วมาก



ไม่มีใครสนใจประเด็นนี้อีกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะพวกเราจะคุยกันถึงผู้ใหญ่ของเราที่ร่วงลับกันไปหมดแล้ว และให้คนที่ยังรู้เรื่องในวัยนั้นเล่าให้พวกเราฟังถึงประสบการณ์

ใกล้สงครามครั้งที่สองสงบแล้ว หลวงศรีปู่เป็นนายอำเภอ ยายชอบเล่นไพ่ตอง ติดการพนัน พ่อของเราขี่รถจิ๊บวิลลี่มาจีบแม่ มีคนหนึ่งทำหน้าที่คอยเก็บเรื่องราวนี้สู่รุ่นต่อไป ในห้องนั้นด้วย




ช่างดีเหลือเกิน เวลามอบเด็กชายคนหนึ่งเป็นผู้จดจำรอยอดีต เป็นรุ่นที่ห้า เด็กชายวัย 10 ขวบ หนุ่มน้อยคนนี้เป็นอนาคต... ถูกกำหนดให้เป็นผู้เก็บอดีตของครอบครัวเราไว้ทุกคนแล้ว






mblogtips blog

mblogtips blog

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

เราจะเลือกประชาธิปไตยของฝรั่ง…..หรือเลือกคำว่า….สยามเมืองยิ้มให้กลับมาในหัวใจของคนไทย (ภาค 1)




ลองมองย้อนกลับเรามีสีของตัวเองแล้วกันทุกคนและนานเท่าไรแล้ว

คุณสีแดง คุณสีเหลือง คุณสีขาว คุณสีน้ำเงิน สีของอุดมการณ์…คุณคืออะไร


ประเทศนี้กำลังพากันเดินสู่ปากเหวความแตกแยกทางความคิดโดยมีประชาธิปไตยในความหมายแตกต่างกันเป็นอาวุธในมือและจิตใจทุกคนช่างเข้มข้นยึดติดอุดมการณ์จ้องมองหาแต่ความผิดพลาดของชาวไทยเลือดต่างสี

เราจะบอกลูกหลานเราอย่างไร เมื่อเราแก่ตัวชราลง และมองเห็นอดีตสยามประเทศสิ้นด้ามขวานหัก เนื้อขวานแหลกจมกระจายเกลื่อนใต้ซากผืนดิน




ปัจจุบันเราผันตัวเองเป็นส่วนสำคัญจิตวิญาณมุ่งมั่นทำเพื่ออุดมการณ์หัวหน้า จนประเทศแตกร้าวปริหลุดแยกกัน

ก่อนเราจะได้ทำการทำลายและในอนาคต อันใกล้ทุกคนจะได้ก้าวข้ามซากของประเทศนี้ เราขอหยุดก่อน

เราควรทำอะไรก่อนจะดีไหม ถามคนบ้านใกล้ของเรา คนลาวที่ยังมีชีวิตอยู่มากมายก่อนลาวแตก ว่าเค้าคิดอย่างไรกับปัจจุบันและลาวในอดีตก่อนประเทศล่มสลายจากการปกครอง….พวกเค้าสูญเสียอะไรบ้าง พวกเค้าได้บทเรียนน่าชื่นชมหรือจากสงครามน่าขื่นขม ….

…..มีความฝันอยากย้อนกลับไปหาประเทศของตัวเองหรือไม่ และย้อนกลับไปลึกไกลแค่ไหน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลเปรียบเทียบ หากคนไทยจะทำหรือแบ่งแยกความคิดและประเทศนี้อยู่ จงถามชนชาวพม่า ถามไทยใหญ่ ถามเขมร กัมพูชา จีน อินเดีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย รัสเชีย แต่อย่าอ่านจากหนังสือประวัติศาสตร์

สมมุติเราหันหลังให้หัวหน้าอุดมการณ์ หันหน้าเข้าหาครอบครัวของเรา และสมมุติว่าครอบครัวของเราคือประเทศไทย เรามีพ่อและแม่กำลังแก่ชรา มีลูกกำลังน่ารัก และลูกอีกสองคนกำลังก้าวสู่วัยรุ่น ทั้งหญิงและชาย หน้าที่ของเราคือดูและพ่อแม่ของเรา ซึ่งวันนี้ท่านแก่มากแล้ว




สำคัญคือความกตัญญู รู้คุณ ด้วยในอดีตเมืองไทยจะปลูกฝังเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันยาวไกลของสยามประเทศ ยามเราเด็กเราเห็นจนชาชินแม่ของเราดูและยายและย่า ปู่และตา

วันนี้เราจะเอาพ่อของเรา ไปไว้บ้านคนชรา คนแก่แล้วไร้ประโยชน์และไร้ค่าแล้วหรือ เราจำได้ทั้งพ่อและแม่ไม่เคยร้องขอให้เราช่วยท่านเลยแม้จะไร้เรี่ยวแรงจะขยับตัว

วัฒนธรรมกตัญญูนี้บ่งบอกความดีงามของบรรพบุรุษสืบต่อมาอย่างยาวนานนับ 700-800 ปี ก่อนฝรั่งจะสอนให้เรารู้จักคำว่าประชาธิปไตย




ประชาธิปไตยคืออะไร ในความหมายของท่านพุทธทาษ ท่านสอนว่า คือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่


เขียนมาถึงตรงนี้ เราคนไทยต่างสีควรนำไปวิเคราะห์ให้ละเอียดด้วยตนเองอีกที
จริงหรือไม่…เชื่อถือได้หรือไม่กับคำสอนนี้
ประชาธิปไตยเป็นวัฒนธรรมด้วยหรือเปล่า

ในครอบครัวหากเราเลือกจะสอนลูกหลานของเราให้รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีไทยอย่างดั้งเดิม มีมารยาทงดงาม พูดจาสุภาพ เป็นมิตร มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ สอนให้ลูกกราบพระ รู้จักที่ต่ำ ที่สูง รักและเคารพพ่อแม่ พี่ดูและน้อง น้องเคารพพี่เป็นลำดับขั้นตอน และในใจหวังไว้ลึกๆ ยามเราแก่เฒ่า ลูกจะดูแลปรนนิบัติไม่ทิ้งเรา ยามเราเข้าสู่วัยชรา

สอนให้ลูกรับรู้ว่าการพูดจาไม่สุภาพต่อพ่อแม่หรือ การไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ เอาแต่เที่ยวทิ้งภาระงานบ้านทุกอย่างให้พ่อแม่ทำ
นำเรื่องกลุ้มใจ โทมนัส นั้นคือบาปที่ลูกกำลังก่อและพ่อแม่เห็นแต่ไม่อาจเข้าไปช่วยให้ลดน้อยได้เลย
เลิกใช้คำว่า ถูกหรือผิด กับครอบครัว มีแค่บุญกับบาปเท่านั้น

ยืนหยัดเป็นครอบครัวที่จะไม่เดินตามเพื่อนบ้านที่ร่ำรวยวัตถุ มากด้วยทรัพย์สิน
ยืนหยัดเป็นครอบครัวที่จะเดินตามเพื่อนบ้านนิสัยดี คนทำดี และเอามาทำตามนั้น สอนตามนั้น ยกย่องสม่ำเสมอ


หากมองย้อนประวัติศาสตร์ เราคิดว่านี่อาจเป็นกุญแจสำหรับคนไทยทุกคน
ทำไมฝรั่งเรียกเราว่า สยามเมืองยิ้ม ก่อนที่ชาวไทยรุ่นใหม่ในยุค2475 ตัดสินใจนำประชาธิปไตยมาใช้กับประเทศไทย

สยามเมืองยิ้ม….ตีความหมายได้กว้างไกลแต่มากมายด้วยคุณค่าความงดงามของอารยะวัฒนธรรมของประเทศนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
หมายถึงดินแดนแห่งความสุข ทำไมจึงมีความสุข สำคัญต้องเป็นดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่งด้วยสินทรัพย์ในดินและน้ำ เพื่อมอบให้แก่คนดี คนขยัน คนมีบุญได้เกิดมาบนแผ่นดินนี้
คนเราเมื่อมีความสุขก็เพราะจิตใจมีความสุข




ทุกคนพร้อมหันหน้าเข้าหากัน ช่วยเหลือ สุภาพต่อกัน เคารพในความเป็นผู้ใหญ่ เคารพในรุ่นพี่รุ่นน้องเป็นมิตรต่อเพื่อนบ้านและคนต่างถิ่น นี่คือความหมายที่ซ่อนอยู่ของคำว่าสยามเมืองยิ้ม

เราจะเลือกประชาธิปไตยของฝรั่ง…..หรือเลือกคำว่า….สยามเมืองยิ้มให้กลับมาในหัวใจของคนไทย

เราขอกราบขอขมาแผ่นดินนี้ พระสยามเทวาธิราช พระแก้วมรกต กระดูกปู่ย่าตายายทวด ลูกคนนี้ได้เกือบกระทำกับประเทศที่อาศัยเกิด


บรรพบุรุษของลูกตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ ให้กระดูกเหล่าบรรพบุรุษต้องอกตรมขมขื่นกับลูกดื้อเชื่อหัวหน้าอุดมการณ์ เกือบลืมพ่อลืมแม่ ลืมสอนลูกหลานเยาวชนรุ่นใหม่

จนตัวเองและลูกหลานตาบอดไม่เห็นความยาวนานต่อเนื่องศิลปะวัตถุที่เหล่าบรรพบุรุษในแต่ละยุคร่วมกันปั้นเป็นปาติมากรรมแทนนามธรรมเสียสละอุทิศแรงใจแรงงาน


สร้างจากปีที่ 1 จนประเทศนี้ยาวนานเกือบ800 ปี ทั้ง วัดวาอาราม บ้านเรือนในแต่ละยุค แต่ละภาค ของใช้จากรุ่นสู่รุ่น อาหาร หรือขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติ คือศิลปะแห่งอนุสาวรีย์สยามเมืองยิ้มจนถึงปัจจุบัน




ต่อนี้ไป เราขอโทษสีแดง เราขอโทษสีเหลือง เราขอโทษสีขาว เราขอโทษสีน้ำเงิน


เราจะทำทุกอย่างเพื่อประเทศมาตุภูมิ ไม่ทำเพื่อประชาธิปไตย ไม่ทำเพื่อแกนนำ ไม่ทำตามความคิดถูกหรือผิด แต่จะทำบุญทดแทนแผ่นดินนี้




อาจมีบางคนสงสัยในวลีหรือประโยคนี้ เราจะขอตอบท่านด้วยความสุภาพอ่อนน้อมจริงใจต่อประเทศเป็นสำคัญ




เราตัดสินใจเลือกยืนกับอดีตของพ่อแม่เราต่อไปและสอนลูกหลานเราให้ก้าวเดินตามเราอย่างกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด กตัญญูต่อบรรพบุรุษ ต่อพ่อแม่ครูและอาจารย์ เพื่อนและผู้มีพระคุณ แต่ไม่ใช่หัวหน้าแกนนำทุกสีอีกต่อไป

























วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

April 8-9 ,2008 ท้องฟ้าแผ่นดินซับฟ้าผ่า



APRIL 8-9,2008 ท้องฟ้าแผ่นดินซับฟ้าผ่า ภัตตาคารแร้ง


เราคาดหวังหรือเรียนรู้อะไรบ้างบนช่วงเวลาสำคัญชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับธรรมชาติห้วยขาแข้งสุสาน……พญาแร้งประจำถิ่นกลุ่มสุดท้ายล่มสลายด้วยยาเบื่อราคาซองละไม่กี่บาท


เวลาเลวร้ายอย่างนั้นไม่นานพอสำหรับบางคนถูกจำกัดให้รับรู้ข่าวจะลืมเลือน

ซับฟ้าผ่าจุดเล็กๆห้วยขาแข้งมรดกโลกถูกเลือกจากคนเหล่านักวิชาการ ปักษีชีววิทยา นักอนุรักษ์ สัตว์แพทย์ เจ้าหน้าที่ข้าราชการและนักการเมือง


หลายๆคนมติร่วมดำเนินประสานเห็นสมควรให้แล้วที่สุด……
เป็นที่ปล่อยคืนอิสระพญาแร้งเด็กน้อยสายพันธุ์หิมาลัยสีน้ำตาล ทั้งหมด 10 ตัว


นักวิชาการกลุ่มอาสาสมัครทำงานนี้ ให้คำจำกัดความนี่คือโครงการ ภัตตาคารแร้ง……แต่ก่อนอื่นตัวเราถามตัวเองว่าพญาแร้งหิมาลัยสีน้ำตาลมาจากไหน ข้างลังไม้ตีหยาบๆ เขียนจังหวัด ตรัง สตูล …. และอื่นๆ


ตีความสำเร็จรู้แจ้งมาจากหลายจังหวัดทางภาคใต้แต่ทุกตัวตกลงทะเลชายฝั่วอ่าวไทย และอันดามัน

เรื่องร้อนใจปนรันทด เศร้าจริงใช่ไหม…..ต้องรับรู้พญาแร้งส่วนมากเป็นพญาแร้งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ 1 ปี ทุกตัวพลัดพรากจากฝูงพ่อแม่พี่น้อง


พญาแร้งเด็กน้อยกำพร้าหมดแรงไม่มีซากสัตว์เสริมแรงสร้างพลังบินสู่จุดหมายปลายทางตามเผ่าพันธุ์ อ่อนล้าเกินฝืนกางปีกใหญ่ร่วงใส่ทะเลเบื้องล่าง….ยอมแพ้เป็นอาหารสัตว์น้ำทะเลต่อไป

อดีตดินแดนประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากร มากมายทั้งพญาแร้งประจำถิ่น และพญาแร้งอพยพจากอีกฟากฟ้า…ธิเบตขุนเขาเจ้าแห่งลมเหนือ


ไม่นานแค่ไม่ถึงครึ่งอายุคน…. ทำไมชะตาลิขิตให้แผ่นดินแห่งนี้คนไทยส่วนใหญ่ดิ้นรนเปลี่ยนแปลงสมดุลทำลายล้างทรัยากรธรรมชาติ


.......จากผู้มั่งคั่งเพื่อนสรรพชีวิตสัตว์ป่า ทิ้งเหลือให้เป็นร่องรอยใหญ่โตง่ายต่อการมีคำตอบบอกลูกหลาน …ทำไมเผ่าพันธุ์แร้งประจำถิ่นในไทยจนจบหมดสิ้น

ยังไม่ใช่ลิขิตของแผ่นดินผืนนี้ต้องจารึกเรื่องพญาแร้งอวสานไว้เพียงเท่านี้

แผ่นดินแห่งการถูกสาบ….. งานฆาตกรรมธรรมชาติอ่อนแอเข้มข้นขึ้นตามลำดับอายุกาลนำหน้า….. ภาระกำจัดพญาแร้งอพยพบริเวณอ่าวไทย และอันดามัน





ปัจจุบันไทยสยามประเทศคือคำตอบบันทึกหน้าใหม่…. วัฏจักรล่อลวงล่าเหยื่อพญาแร้งหิมาลัยสีน้ำตาล อพยพโดยใช้พื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยเป็นสถานสุสานกับดักการหล่นร่วง

เรื่องนี้ชัดเจน…..ทำไมชีวิตของคนเขียนต้องผูกพันรับรู้เรื่องหดหู่อย่างนี้



ชีวิตพญาแร้งกินสัตว์ซากเน่า ไม่เบียดเบียนชีวิตพืช ไม่เบียดเบียนเนื้อสัตว์สด เกิดมาเพื่อทำงานคอยกำจัดกินอาหารซากเน่าเหม็นกำจัดกลิ่นโชยเน่าเหม็น ทำไมซากสัตว์เน่าอาหารของนกอีแร้งชนิดนี้หมดไปแล้ว หมาเน่าข้างถนนมีให้บ้างไหม ซากสัตว์ตายยุ่ยเหม็นโฉ่ไม่มี อีกแล้ว อาหารสัตว์กลายเป็นโรงงานอุสาหกรรมสัตว์



เกิดประเด็นขึ้นแล้ว

ใครกันนำพา…เรื่องราวของเหล่านกพญาแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย เงื่อนไขใหญ่ต้องเกิดความสงสาร พาไปสู่ ความกรุณา…


ความกรุณาสร้างอิทธิพลผลักดันมวลชนทั้งหมดสู่หลุมกับดัก ร่วมรับรู้ชะตากรรมลำบากของนกชนิดนี้ เหล่าคนแค่กลุ่มเล็กๆเท่านั้นและมีเราเป็น หนึ่งในนั้นรับรู้โครงการวางแผนอุปการะ เพื่อลดโศกนาฏกรรมอันแสนวิปโยก ประกาศให้คนบางคนได้มองเห็นความจำเป็นรีบเร่งช่วยเหลือแร้ง

ผู้นำโครงการนี้ประสานทุกฝ่ายขอเติมโอกาส เหล่าฝูงพญาแร้งอพยพบินมาจากิเทอกเขาหิมาลัยหรืออพยพบินกลับ....หาก ....หรือ.... ถ้า...... ผ่านป่าใหญ่ห้วยขาแข้ง




….. หวังตั้งเป้าหมาย ของทุกๆปีตรงนี้ซับฟ้าผ่า...มีการจัดวางซากอาหารโปรดไว้ให้ อย่างต่อเนื่อง ทุกสัปดาห์เพื่อเป็นแหล่งอาหารโปรตีนสร้างพลังงานสู้ชีวิตวิบากสู่ทิศจุดหมายไม่ว่าจะเป็นช่วงอพยพมา หรือเวลาพาเจ้าพญาแร้งโบยบินกลับสู่บ้าน



คำว่าบ้านอีกหลังของพวกเจ้าพญาแร้ง…… ดินแดนธิเบตภูเขาแห่งความหนาวลึกและไร้ขอบทะเลมหาสมุทร

หลังจากผ่านขั้นตอนยุ่งยากในการช่วยเหลือ เอาออกจากอ้อมแขนผู้เก็บเจ้าจากทะเล..... บังคับด้วยกฏหมาย การล่อขอซื้อ หรืออีกหลายวิธีเพื่อนำพญาแร้ง ย้ายนำสู่สถานอนุบาล รักษาจากสัตว์แพทย์อย่างใกล้ชิด





จนเชื่อมั่นในสุขภาพความพร้อมเพื่อให้ทุกตัวได้บินตามเผ่าพันธุ์บินกลับบ้าน

ทุกอย่างบรรจงละเอียดต่อจิตวิตยาสัตว์ชนิดนี้เป็นข้อแรกของทุกการตัดสินใจในการก้าวไปข้างหน้าแค่หนึ่งก้าว

เมื่อเวลาเปิดกรงมาถึง กล้องจากนักข่าว นักถ่ายภาพชีวิตสัตว์ และผู้ที่ช่วยเหลือโครงการทั้งหลาย พญาแร้งทั้งสิบตัวเลือกบินผ่านอาหารอย่างไม่สนใจใยดี หนีคนตามสัญชาตญาณถูกต้อง การปฏิเสธอาหารเงื่อนไขของมนุษย์


การสิ้นหมดหวังของคนดูมาถึง…..คือคำตอบทั้งหมด….พญาแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยทั้ง10 ตัว บอกกับทุกคน
นกแร้งอยู่….คนอยู่ดู (คนอยากรู้ว่านกแร้งจะกระชากจิกทึ้งอาหารอย่างไร) แต่นกแร้งเลือกบินหายไป…. คนพ่ายแพ้กับเจตจำนงของสัตว์ปีกชนิดนี้ ผู้คนทั้งหมดออกจากพื้นที่คือสิ่งที่นกแร้งทั้งหมดต้องการ


,มีความผิดหวังของผู้นำโครงการหรือเปล่า ตรงกันข้ามหัวใจอันยิ่งใหญ่ของผู้นำโครงการมองการณ์ไกลไปมากกว่านั้น ไม่ได้เสียใจ กับการเมินเฉยซากวัว แต่ยินดีให้.....วันนี้คือเริ่มต้น เพื่อปีหน้าและของทุกๆปี


ขอให้เจ้าแห่งกาลเวลาผู้กำหนดวัฏจักรการบินย้ายข้ามฟ้า โปรดรับอาหารสำคัญนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของฤดูกาลอพยพย้ายหนีความหนาวเย็นมาสู่ซีกโลกแห่งทะเลสีฟ้าใสอบอุ่นของอ่าวทะเลไทย






โครงการอุปการะเหยี่ยวเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ (Adopt a Raptor) เป็นโครงการฟื้นฟูสุขภาพเหยี่ยว นกอินทรี อีแร้งหรือนกชนิดอื่นๆ เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติภายใต้ขอบเขตการดำเนินการของศูนย์ฟื้นฟู สุขภาพนกเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติและเปิดโอกาสให้นักดูนกหรือ ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสุขภาพของนกที่บาดเจ็บ บินตก เนื่องจากขาดอาหารหรือพลัดหลงได้ต่อชีวิต สามารถกลับไปใช้ชีวิต ด้วยตนเองในธรรมชาติต่อไป



คณะผู้ดำเนินการ



เชิดพงค์ เติมตะนันทน์
ปิยะพงษ์ โชติพันธุ์
ทวีวัฒน์ สุปินธรรม
วัฒนวงษ์ วงษ์พันธุ์
ไชยยันต์ เกษรดอกบัว (อาจารย์ต้น ผู้ให้โอกาศพี่กุ้งได้เข้าร่วมในกิจกรรมนี้ค่ะ)
อนุทิน จันทร์เทวา
ชูเกียรติ นวลศรี
พรภัทร นิคมานนท์
พีรศิษฐ์ ตัณฑวณิช
ปารณีย์ หรรษกุล
อายุวัฒ เจียรวัฒนกนก

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552

ช่วย...ต้นกล้า






หลายๆ คน ในบอร์ดนี้คงได้คุ้นเคยกับชื่อต้นกล้ามาบ้างแล้ว
ขอเริ่มด้วยการดูงานขยะบนเขาใหญ่ของพวกเรา ในวันที่ 29 มีนาคม 2552
เพื่อศึกษาสถิติ พฤติกรรมการทิ้งขยะ การจัดการกับขยะ และแนวทางในการแก้ไขปัญหาขยะบนเขาใหญ่
เพื่อนำไปสู่การรณรงค์ อาชีพหลักของเรา ชาวต้นกล้า..........













พรีเซนเตอร์ถุงขยะ
เป็นถุงขยะที่ทางอุทยานเคยแจกให้กับนักท่องเที่ยว ที่ขึ้นเขาใหญ่ โดยต้องวางเงินมัดจำไว้ 100.- แล้วขากลับคุณต้องนำถุงขยะพร้อมทั้งขยะที่คุณนำขึ้นไปกลับลงมา แต่ กลับไม่เป็นอย่างงั้นทั้งหมด คือ บางคนเอาถุงเปล่ากลับลงมาเพื่อแลกเงินของตนเองคืนเข้าเป๋าตังค์ จึงอาจพูดได้ว่า วิธีนี้ซื้อจิตสำนึกบางคนไม่ได้เลย อีกปัญหานึงของเจ้าถุงนี้ก็คือ จนท.แจกถุงให้ไม่เพียงพอ เพราะ 1 ถุง/คัน
แต่ จนท.ฝ่ายวิชการของอช.เขาใหญ่ ก็บอกว่า วิธีนี้ช่วยลดขยะบนเขาใหญ่ และเบาแรง จนท.ได้ถึง 50% เลยทีเดียว แต่ติดขัดที่ความไม่ต่อเนื่องของโครงการ









เสร็จสิ้นจากฝ่ายวิชาการแล้วเราก็เดินทางไปที่ผากล้วยไม้ เพื่อแวะชมกรงพักขยะ ก่อนที่จะขนย้ายลงไปข้างล่าง แล้วก็ไปต่อที่น้ำตกเหวสุวัต เพื่อฟื้นชีพ คืนความสดชื่นให้ต้นกล้า แวะชมเตาเผาขยะเตาเดียวของเขาใหญ่ พร้อมทั้งทำการประชุมสรุปสุดยอดในวาระดูงานขยะบนเขาใหญ่ในคราวนี้ ซึ่งสรุปได้ว่า กิจกรรมที่เราคิดได้ มี 6 กิจกรรม ดังนี้1. กิจกรรม “ เก็บขยะ 1 ชั่วโมง” บนเส้นทาง ผากล้วยไม้-เหวสุวัต หรือเส้นทาง 3 กม.ก่อนถึงด่านไอเดียของพี่ๆ ฝ่ายวิชาการ 2. กิจกรรม “1 เดือน 1 ครั้ง” คือการรมตัวของต้นกล้าเพื่อขึ้นมาเก็บขยะบนเขาใหญ่ เป็นเวลาครึ่งวันบนเขาใหญ่ 1 ครั้ง/เดือน : ไอเดียของพี่อ่าง3. กิจกรรม “มนุษย์ขยะตามหาพ่อ” เป็นไอเดียของเอฟ (ต้นกล้าปากพลี) ที่แต่งตัวแฟนซีเป็นขยะตามหาผู้ที่ทิ้งเราไว้บนเขาใหญ่4. กิจกรรม “กระชากจิตสำนึก” ชื่ออาจรุนแรงไปหน่อย แต่กิจกรรมเป็นอย่างนี้จริงๆ โดยให้ต้นกล้าไปยืนเก็บขยะต่อหน้าผู้ทิ้ง เป็นไอเดียของ มุก-อิ๋ว5. กิจกรรม “ยืนหน้าถัง” เป็นการให้ต้นกล้าไปประจำที่ถังขยะต่างๆ เพื่ออธิบายการแยกขยะ และการนำไปใช้ประโยชน์ 6. กิจกรรม “ค่ายเด็กขอบ” ที่จะนำเด็กชายขอบเขาใหญ่ นำมาเข้าค่ายอบรมให้ความรู้สุดท้ายเรานัดกันว่า ในวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2552 ต้นกล้าจะมาทำการรณรงค์ขยะกันที่เขาใหญ่ โดยกิจกรรม ดำเนินไปตั้งแต่ 10.00-18.00 น. บนเขาใหญ่มีรายละเอียดดังนี้เวลา 10.00-14.00 น. รณรงค์ที่ศูนย์อาหารของอุทยาน จัดซุ้มความรู้ 4 ประเด็น (1.ขยะเกิดจากเรา 2.ผลกระทบจากขยะ 3.ทำไมต้องแยกขยะ 4.คุณมีส่วนร่วมในการกำจัดขยะอย่างไร) มีการแสดงละคร ให้ความรู้เรื่องขยะ ฯลฯเวลา 15.00-16.00 น. กิจกรรมเก็บขยะเวลา 16.30-17.00น. ไปที่ลานกางเต็นท์ผากล้วยไม้ เพื่อให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวถึงหน้าเต็นท์กันเลย แล้วก็แจกถุงขยะ





สวัสดีค่ะน้องชาวต้นกล้า
ดีใจกับก้าวแรกๆ ของน้องชาวต้นกล้า ที่เริ่มก้าวแล้ว อย่าหวังความสำเร็จให้มากนะค่ะ
ตั้งใจทำโครงการมุ่งมั่นทุ่มเท หนักแน่น ให้เต็ม 100%
แต่ขอให้ หวังผลงาน.....ได้รับกลับคืนไม่เกิน 30-40% เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันจิตใจ การผิดหวัง ความเสียใจ ความท้อแท้ ลำบาก ที่ธรรมชาติจะคอยส่งมาเพื่อทดสอบผลงาน
อาจมาในมุมตัวแปร....ให้มนุษย์ด้วยกันคือปัญหาขัดขวาง
แม้แต่เพื่อนชาวต้นกล้าด้วยกัน.....อาจมีข้อขัดแย้ง เหมือนต้นไม้มีกิ่งก้านมากๆ บางทีก็พันกันเองค่ะ
ตั้งสติมองวันแรกที่ก่อเกิดต้นกล้าแทรกดินสู่อากาสขึ้นมา ทุกคนอาจเปลี่ยนไป งานมากขึ้น ครอบครัว สังคมคือตัวแปร เหล่านี้คือขวากหนามค่ะ ให้ก้าวเดิน.....
เส้นทางของน้องชาวต้นกล้าเลือกเดิน หากยืนข้างธรรมชาติ และให้ธรรมชาติเป็นตัวตั้ง หรือเป็นใหญ่กว่าความคิดเรา
กว่าตัวเรา กว่าทุกสรรพสิ่ง สรรพชีวิต
เราจะเห็นคำตอบของทางเดินง่ายแสนง่าย ความสุขจะอยู่กับเราทุกก้าวค่ะ
คือวันนี้เราทำงานแล้ว
พรุ่งนี้ถ้ามีมาให้ เราก็จะทำให้ดีกว่าวันนี้เท่านั้นเอง
สุดจุดหมายปลายทาง คือรางวัลของการทำงานในสิ่งที่เรารักและทำมันด้วยตัวเอง
ขอโทษด้วยค่ะ ถ้าหากชี้นำมากไป ตอบตวามคิดเห็นกลับมาได้ค่ะสวัสดีค่ะน้องชาวต้นกล้า

ตอบคำถาม


ผมจะพาเด็กวัยประมาณ 10 ขวบไปเที่ยวช่วงปิดเทอมแบบค้างคืนเด็กๆอยากเล่นน้ำเย็นเพราะอากาศร้อนแต่พวกผู้ใหญ่ชอบตกปลาประเภทปลาหน้าดินยังไม่รู่ว่าจะไปที่ไหนดีช่วยแนะนำหน่อย ประมาณ 40 ท่าน เคยไปแถวพุเข็มผู้ใหญ่สนุกได้ตกปลาแต่เด็กๆไม่ชอบเพราะไม่ได้เล่นน้ำ ไปแถวรีสอร์ทใต้เขื่อนเด็กๆชอบได้เล่นน้ำแต่ผู้ใหญ่เซ็งไม่ได้ตกปลา เลยไม่รู้จะทำอย่างไร




Nature is friendly ,and give someone that you requests.

บางทีผาด่างแคมป์อาจเป็นเพื่อน ช่วยตอบเรื่องนี้ให้คุณได้นะค่ะ
padangcamp.com
tel.081- 8126625 ลุงเปี๊ยก , 086- 6171208 ยอด

ช่วยตอบ....คำถาม


ว่าจะไป 1-3 พ.ค.รบกวนแนะนำค่าใช้จ่าย / ติดต่อที่ไหน / พาไปชมหมอกแล้วพาไปไหนอีกครับ

- รีสอร์ทริมน้ำเพชร ที่ไหนกางเต้นท์ดีครับ (หรือกางอุทยานดีกว่า) พอดีอยากเล่นน้ำ / ล่องแพยาง
ขอบคุณครับ




สองข้างทางยามสายหลังจากทะเลหมอกจาง
ผีเสื้อป่าจะออกมารอคอยนักท่องเที่ยวสองข้างทาง

Nature is friendly and give someone that your request.

บางทีผาด่างแคมป์อาจเป็นเพื่อน ช่วยตอบเรื่องนี้ให้คุณได้นะค่ะ

คำถามท่องเที่ยว


สอบถามพะเนินทุ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ครับ
ประมาณวันที่ 14 เมษา ว่าจะพาเพื่อนๆ ไปขึ้นพะเนินทุ่งครับ กะว่าค้างคืนกลับวันที่ 15 อยากถามว่า
เขาจำกัดนักท่องเที่ยวไหม ?
คนเยอะมากหรือเปล่า คาดว่าประมาณเท่าไหร่ครับ (กี่คน) ?
นรกจะมาเยือนผมไหมครับ ?
รถจะติดบนเนินหรือเปล่า
และสุดท้าย
หรือ ผมจะไปเที่ยวน้ำตกป่าละอู จะดีกว่าไหมครับ
ขอบคุณครับ




ถ้าไม่ชอบเสียงดัง .....
ถ้าไม่ชอบคนมากมาย .....
ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว.....
ถ้าต้องการความปลอดภัย.....
ถ้าต้องการที่ๆธรรมชาติเป็นใหญ่ที่สุด.....
ถ้าต้องการความสะดวก สบายพอประมาณ.....
ไปโป่งลึก ค่ะ อยู่ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ราษีป่าเมษนี้ สายน้ำป่ากลายเป็นสีขาวตีฟองกับแก่งหิน
Nature is friendly and give someone that your request.บางทีผาด่างแคมป์อาจเป็นเพื่อน ช่วยตอบเรื่องนี้ให้คุณได้นะค่ะ
padangcamp.com tel.081- 8126625 ลุงเปี๊ยก , 086- 6171208 ยอด