วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551

รอยจำผาด่าง 16


March 13, 2008

เครื่องตัดหญ้า แว่วมาจากลานกางเตนท์ เราเดินตามเสียง พบยอด ผู้จัดการผาด่าง กำลังขะมักเขม้น ก้มหน้าตัดหญ้า เราเดินเข้าไปใกล้จนพอระยะปลอดภัย หาหินก้อนเล็กๆ ทอยโยนให้โดนชายหนุ่มพอรู้สึกตัว และทำสัญญาณมือให้เบาเครื่องตัดหญ้าที่ส่งเสียงดังคำราม เมื่อเครื่องเงียบแล้ว เราบอกว่าถ้าตัดหญ้า ให้เหลือกลุ่มดอกหญ้าสีขาวไว้บ้าง เวลาสายลมพัดมา เราชอบมองดอกหญ้ากอเล็กๆเอนไปเอนมาน่ารักดีๆและต้องกลางลานหญ้าโล่งๆ



ใต้ต้นตะขบ ม่อนขับรถเครื่องเข้ามาจอด มีหนุ่มไผ่นั่งซ้อนท้ายอุ้มกอดลูกมะพร้าวแห้งมาด้วย4-5 ลูก เราถามว่าไปเอาที่ไหนมา เสียงม่อนตอบว่า ไปขอซื้อจากชาวบ้านในด่านมา ของเราทางนี้มีไม่พอ พูดยังไม่ทันจบ ยอดก็ขับรถมาจอดข้างๆ มีถุงพริกขี้หนูถุงใหญ่อยู่ในตะแกรงหน้ารถ มองไปทางซ้ายมือ มีพี่หวัดกับลูกชายกำลังจัดแต่งสวนอาหาร เพื่อต้อนรับและเป็นที่รับประทานอาหาร ของสมาคมอนุรักษ์นกที่จัดนับนกแก่งกระจานในวันที่15-16


March 14, 2008

จากที่ยืนเรามองไปทางบ้านฟ้าสดฟ้าใส เห็นหมอน ที่นอน ถูกนำมาตากแดดวางบนสะพานไม้ แดดแรงของตะวันตอนเที่ยง หมอนทุกใบคงอาบแดดไล่กลิ่นอับชื้น เราเดินไปหาหมอนร้อนๆ และจับตบๆทุกใบ

เสียงนกกระเต็นน้อยธรรมดาร้องขับขานกับสายน้ำ รับรู้ว่าวันนี้เจ้ายังอยู่ที่ผาด่าง กระต๊อบเอียงเอน บ้านหลังแรกของเรากับผาด่าง ได้นอนหลับกลางวันที่กระต๊อบโย้เย้ ความรู้สึกหวาดหวั่น บ้านหลังคาใบจาก จะล้มลงหรือเปล่า เมื่อล้มตัวลงนอน มองเห็นแสงตะวันรอดลงมาตามรูหลังคาผุและโหว่ ก่อนจะหลับไปเพราะลมคอยพาความเย็นสบายมาให้

ชาวผาด่างเดินตามหลังเข้าบ้านนกร่าเริง และบ้านหลังอื่นๆตามลำดับ บางคนถือกระป๋อง บางคนแบกผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ช่วยกันจัดที่นอน ปูที่นอนใส่ปลอกหมอน เก็บลายละเอียดเล็กๆน้อยเกี่ยวกับดอกไม้ ความใสของแก้วน้ำ หม้อใส่ยากันยุง และผ้าม่าน ลมสบายๆหยอกล้อกับผ้าม่านสีขาวโยกไปมา บางครั้งแรงจนได้ยินเสียงคล้ายว่า สะบัด สะบัด


เกือบเย็นแล้วหน้าห้องครัว เราถามว่ายุงไปไหนเหรอ ไปเอากล้วย กับหัวปลี และใบตองจ๊ะ มีน้องมดไปช่วยกัน
เพราะ หนักมาก เอามาคนเดียวไม่ได้ เสียงแม่ครัวชื่อแก้มบอกให้เราเข้าใจ มองเข้าไปในครัวทุกคนต่างกระตือลือล้น เกี่ยวกับวันพรุ่งนี้

เจ้าหน้าที่สมาคมมาถึงแล้ว มีน้องผึ้ง น้องไก่ น้องโน๊ต และน้องทิพย์ เราทำหน้าที่พาน้องๆเดินชมผาด่างและบ้านที่ชาวผาด่างตระเตรียมไว้ต้อนรับเพื่อนชาวดูนก








พี่วัชระ ขับรถมาจอดหน้าผาด่าง เกือบ 4 ทุ่มแล้ว มากับลูกเกตุ ภรรยา และมีรถอีกคันเข้ามาจอดตามหลัง เป็นคุณพินิจ และภรรยา เราใช้ไฟฉายคอยส่องทางเดินฝ่าความมืด พาคุณทั้งหมดเดินเข้าบ้านริมน้ำ ชื่อบ้านนกเงือก




March 15, 2008

เมื่อเราเดินถึงห้องอาหาร พี่ปัญญา พี่วัชระ พี่หน่อย พี่พินิจ ทุกคนต่างมาเป็นคู่ นั่งทานกาแฟ และพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ คุณพินิจมอบกล้องสโคปตัวเก่าให้เรา และย้ำว่ากล้องตัวนี้เป็นกล้องที่นำพี่วัชระมาพบกันด้วยอุบัติเหตุ และให้กล้องสองตากับเราอีกตัว ทั้งสองตัวนี้ คุณให้เราเอาไว้สอนเด็กบ้านป่า กับโครงการที่เราทำอยู่ น้ำใจและความปราณีของคุณพินิจ ทำเอาเราอั้นในอก พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กล่าวคำว่าขอบคุณ



เกือบเย็นแล้วกลุ่มแต่ละกลุ่มเริ่มเข้ามาในผาด่าง ชุลมุนนิดๆตรงโต๊ะลงทะเบียน ทุกคนร่วมลงชื่อ แลกเปลี่ยนรอยยิ้มทักทายที่ได้เจอกันอีกครั้ง วันนี้ความดีใจของเราคงเป็นการได้พบอาจารย์อมร ครั้งสุดท้ายที่โทรคุยกัน อาจารย์บอกว่า คงมาไม่ได้เพราะติดธุระ เมื่อไม่คาดหวัง การได้พบจึงกลายเป็นเรื่องแห่งความสุขเสมอ

อีกคนคือคุณป๋องและครอบครัว คุณนำขนมมาฝากเพื่อนๆชาวดูนกมากมายหลายถุง เรื่องดีๆหลายเรื่องที่คุณแนะนำให้เราปรับปรุงผาด่างอย่างตรงไปตรงมา และเมื่อยามค่ำคืนในห้องเสวนา บรรยากาศการประชุมเต็มไปด้วยความราบรื่น เป็นกันเอง แต่เวลาทีมีจำกัด และถูกใช้อย่างขาดทักษะทำให้เวลาของผู้ที่จะคุยเรื่องแก่งกระจานในอดีตกลับต้องถูกลบออกไป



อีกเรื่องที่เป็นประเด็นขัดแย้งระหว่างคนดูนก กับกฎระเบียบของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เริ่มร้อนขึ้น การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ร่วมกัน กลายเป็นประเด็นที่ต่างมีเหตุผลคนละด้าน คุณปลากระดี่พยายามนำเหตุผลขึ้นชี้แจง ร่วมกับคุณเรวดีและคุณหมอต้อ



แต่ในเวลา และสถานะการณ์ที่เกือบเหมือนจะตึง เครียด อาจารย์อมรจึงให้ยุติเสียก่อน และจะหาทางออกที่ดีทั้งสองฝ่าย คือกลุ่มคนดูนก และทางกฎระเบียบของอุทยาน เพื่อสรุปแนวการแก้ปัญหาเข้าที่ประชุมของสมาคมในวันที่ 29 มีนาคมนี้



March 16, 2008

ทุกกลุ่ม คนดูนก เริ่มออกเดินทางหานกป่าแห่งแก่งกระจานตั้งแต่แสงจันทร์จับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก และอรุณแรกของตะวันกำลังเกิดขึ้นในทิศฝั่งตรงข้ามกับดวงจันทร์ รถแต่ละคันเคลื่อนออกจากผาด่าง มุ่งหน้าหาป่าใหญ่ คันแล้วคันเล่า ทิ้งไฟท้ายให้เรามองตามหลัง ตะวันสว่างแล้ว ชาวผาด่างเริ่มตามปิดไฟทาง เป็นเวลาเดียวกับเราพบคุณปลากระดี่ ดวงตาอิดโรย หน้าตาเศร้าหมอง เรื่องเมื่อคืนหรือ หน้าตาชายหนุ่มบอกเรามากกว่าคำพูด คุณหยุดนิ่งนานอึดใจ ก่อนบอกว่า คุณรับปากเพื่อนในห้องดูนกพันทิพแล้ว ว่าจะนำเรื่องเข้าประชุม แต่กลับทำอะไรได้ คุณกังวลว่าเพื่อนๆในห้องจะไม่เข้าใจ เราแค่เอ่ย ปัญหาของเพื่อนๆ ทำไมต้องเอามาแบกไว้เล่า เราและคนอื่นในห้องเสวนา เห็นทุกอย่างที่คุณกระทำเมื่อคืน คุณมุ่งมั่นสุดกำลังความสามารถแล้ว และมันสมควรต้องจบลงในขณะนั้น เพื่ออะไร



เราเองก็พิจารณาเหตุผลหลายอย่างที่คนดูนกร้องขอกับหัวหน้าอุทยาน หลายเรื่องไม่ใช่เรื่องยากที่จะร่วมกันแก้ไข แต่กลับมีเรื่องเดียวเท่านั้นที่เป็นประเด็นใหญ่และถูกผูกเกี่ยวปนกับเรื่องศักดิ์ศรีในการนำเสนอ เหตุผลกติกาหัวหน้าอุทยานจัดให้ หากคนดูนกไม่ยอมรับกฎระเบียบที่ร้องขอไป คนดูนกกลับพบตัวเองต่างหากเล่าที่เห็นแก่ตัว และหากยอมรับก็เท่ากับเป็นผู้ทำลายธรรมชาติ ทำร้ายย่ำยีธรรมชาติเสียเอง ทุกอย่างถูกผลักกลับมาที่คนดูนก หากยังดึงดันกับเหตุผลที่หัวหน้าอุทยานย้ำ….ปิดทางเดินทางความคิดและการกระทำ ด้วยเหตุผลที่ถูกต้องกว่า แต่เรากลับรู้สึกว่าขาดความยุติธรรม ความยุติธรรมในความหมายของเรา คือความกรุณา ( จอร์จ แมกโดนัลด์ กล่าวไว้ในหนังสือ ยามเมื่อลมพัดหวน)



เมื่อยามเย็นมาถึง หลายกลุ่มเริ่มทยอยส่งผลการนับนก ทุกคนต่างเล่าเรื่องของนกป่าตัวน้อยๆ ที่ออกมาให้ทุกคนได้ขานชื่อ จดบันทึก บางตัวออกมาเพียงวับแวม แต่บางตัวใจดีพากันออกมาให้ชื่นชมหลายๆรอบ มีเรารอที่ผาด่างเป็นผู้รับฟังเรื่องความสุขของแต่ละคน และที่พิเศษที่รับรู้ได้ ความสุขของเพื่อนๆช่างมากมายเสียเหลือเกิน ก่อนที่ตะวันจะจบลง เพื่อนดูนกก็เคลื่อนถอยรถคันสุดท้ายออกไป ผ่านป้ายที่เขียนว่า

ลาก่อน
กลับบ้านปลอดภัย
จากชาวผาด่าง

ไม่มีความคิดเห็น: