วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ประชาธิปไตยของฝรั่งหรือ สยามเมืองยิ้มให้กลับมา ( ภาค2)








ลองมองย้อนกลับเรามีสีของตัวเองแล้วกันทุกคนและนานเท่าไรแล้ว

คุณสีแดง คุณสีเหลือง คุณสีขาว คุณสีน้ำเงิน สีของอุดมการณ์…คุณคืออะไร

สำหรับเหตุผลที่ต้องวางประชาธิปไตย…เป็นเพราะ

เราอาจเจ็บป่วย…อ่อนแอและเหนื่อยล้า เบื่อกับสงครามพูด ฝ่ายถูกหรือผิด โดยมีสื่อบิดเบี้ยวเป็นตัวทำลายฐานการส่งข้อมูลที่เป็นกลาง บุญและบาปหายไป การเสนอความจริงเพียงเสี้ยวของดวงจันทร์แล้วแต่หันมุมไหนของคืนแรม คืนค่ำ

หาหนทางเยียวยาให้ตนเองกับทุกคนในครอบครัว ปัญหาครอบครัวกับการเมือง ในบ้านของเราครอบครัวใหญ่ บ้านสี่หลังติดกันหมด ระยะเวลาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน เราคิดเอาเอง ญาติเราคนนี้ ไม่สนใจเรื่องการเมือง แต่ญาติบางคนรู้ ทุกคนจะเปลี่ยนเรื่องคุย หรือหากเปิดทีวี จะหรี่เสียงลง ทุกเย็นทุกคนจะมากินข้าวบ้านหลังใหญ่ ญาติเราคนนี้อยู่ในหนึ่งของสี่หลัง

เมื่อสงกรานต์บางคนแยกไปเที่ยวกันเองกับครอบครัวของตนเอง ญาติเราคนนี้ไปเที่ยวบ้านภรรยา กับพ่อแม่ของตัวเองเข้าวัยเกษียร ลงมาจากจังหวัดแพร่ พี่สาว พี่ชาย ครอบครัวพี่ชาย ไปพบเจอญาติพ่อแม่พี่น้องทางภรรยาอยู่ทางทิศตะวันออก จันทบุรี


ในขณะที่กรุงเทพกำลังเข้มข้น ดุเดือด มีเสียงปืน ปิดถนน จราจน มีขู่ระเบิดรถแก๊ส มีทหาร ตำรวจ มีชาวบ้าน ชุมชนออกมาต่อต้าน… จนมีการตาย ทุกคนทุกถิ่นต่างจดจ้อง เปิดทีวี ทุกร้านอาหารแวะจอด ข้างทางซื้อของกิน ชาวบ้านในตลาด ในปั้มน้ำมัน ชายหาดทะเล บนรถเสียงโทรศัพท์ เพื่อนๆ


เราเองซึ่งตัดสินใจไปอีกทิศหนึ่งและมีโปรแกรมการเที่ยวเหมือนกัน คอยโทรถาม สถานะการณ์ต่อกัน อาหารทุกมื้อ มื้อเย็นในวงร่ำสุราครบพี่น้องพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายแต่ต่างทิศของแผนที่เมืองไทย


จนดึก ญาติคนนี้เดินออกจากวงอาหารวงเหล้าอย่างเงียบๆ ไปนั่งร้องไห้คนเดียว และไม่สามารถหยุดกั้นความคิดแตกต่างแอบเก็บซ่อนไว้อย่างสุภาพอ่อนโยน กลายเป็นระเบิด….แรงเก็บกดไว้ลึกตั้งแต่แรกๆของการชุมนุมปีพ .ศ.2549 ความอึดอัดใจแน่นแตกระเบิดออกมา หัวใจยับเยินขมขื่นทำให้พลังทำลายเร็วและแรงเข้มข้น



ฉีกบาดกระจายสู่พ่อแม่พี่น้องทั้งสองฝ่ายต่างต้องตกตะลึง ขมขื่นรันทด อะไร ทำไม อย่างไรและเมื่อไหร่ ทั้งหมดเห็นเป็นหนึ่งเดียวแต่กลับมีแตกต่างด้วยหรือ ในครอบครัว…คนนี้ทุกคนในครอบครัวลงความเห็นว่าเป็นที่รักความหวังและสำคัญดูว่าจะใจเย็นรับฟังได้เสียทุกเรื่องกับปัญหาของใครก็ได้ในครอบครัว

ความเมาคือความอิสระปลดสลักระเบิดออกมาด้วยตัวมันเอง ญาติต่างๆเจ็บปวด และไม่มีใครพูดเรื่องการเมืองอีก ปล่อยให้ความเกรงใจ รับรู้สิทธิของแต่ละบุคคลถูกเอามาแบ่งกั้น ทุกคนคุยกันเรื่องดีๆแต่ฝืดๆ เก็บบาดแผลนั้นไว้ ทุกคนใช้วิธีเงียบอดทน ฝืนกลั้นเพื่อเลียแผลรักษาตัวเองไปพรางๆ แต่ไม่มีใครช่วยเหลือใครต่างปกปิดแผลนั้น



ทุกคนปล่อยให้ตัวเองป่วยและใช้ความรักเสแสร้งคุยเรื่องอื่น หัวเราะฝืด ยิ้มฝืดๆ พี่สาวเราร้องไห้สงสารญาติเราคนนี้ และตัวเราก็ต้องวนเวียนว่ายวนในความคิดปนเป หาที่มา ที่ไป


ญาติคนนี้กลายเป็นคนในบ้านทุ่มเทความสงสาร พวกเรานึกถึงเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน เพื่อครอบครัว เพื่อทุกคนมีความสุขทุกวัน ไม่เคยมีทีท่าให้รู้ว่าทุกเย็นของการมาทานข้าวที่บ้านหลังใหญ่ คนนี้ต้องปิดความรู้สึกตัวเอง ยิ้มแย้มหัวเราะช่วยตักข้าว กินข้าวพร้อมกัน คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ นานอยู่หลายปี



เรื่องที่คุยบางครั้งก็มีเรื่องการเมือง ยิ่งเหตุการณ์มีเสียงปืน มีการทุบตีจากฝ่ายตรงข้าม มีสีสันเหมือนภาพยนต์เรื่องยาว ทุกอย่างในใจทุกคนกำลังเข้มข้นฝักใฝ่ประชาธิปไตยในมุมมองของตัวเอง ยังไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร รู้แต่ว่ารุนแรงขึ้นทุกวัน และไม่อาจบอกได้เลยว่า มีความสนุก มีความสะใจ ดีใจ เสียใจเพราะพวกเราเอาตัวเองเข้าไปแสดงจริงในมินิซิรีย์บางตอนบางฉากด้วยด้วย






เวลาแห่งโอกาสต้องถูกลิขิตมาถึง



ในวงอาหารเย็นวันหนึ่ง 20/4/52 เรานำบทความเรียงนี้ไปลงห้องการเมือง ของพันทิพ และเมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นบวก เรารีบนำความเป็นบวกพร้อมความสุขใจมั่นใจไปที่โต๊ะอาหาร ทุกคนเกือบ20 ชีวิต เราค่อยๆเล่าว่าเราเขียนอะไรลงไปบ้าง สุดท้ายเสียงดังของเราบอกว่า ในบ้านนี้เราจะไม่มีประชาธิปไตย





แต่เราจะหันกลับเอาประเพณีดั้งเดิมของไทยมาพูดมาใช้ ทุกคนเริ่มเงียบหลังจากขอแกมบังคับว่าให้เราหยุดพูดเรื่องการเมือง การเล่าถึงเนื้อหาใจความข้อเขียนอะไรบ้าง เปรียบเทียบวัฒนธรรมดั้งเดิม ของคนไทยกับประชาธิไตย




ทุกคนเงียบกว่าเดิม…..หยุดฟังและค่อยๆยิ้มให้กำลังใจเราเล่าต่อไป เสียงของเราดังฟังก้องได้ยินไปทั่ว เราแอบมองญาติคนนั้น สิ่งที่เราเห็น รอยยิ้มอย่างสดใสและสบตากับเราอย่างขอบคุณ พี่สาวของเรา คะยั้นคะยอให้เราพูดต่อ ว่าเขียนอะไรอีก เรามาถึงคำว่าสยามเมืองยิ้ม




หน้าที่ผู้ใหญ่คือผู้ให้ ทั้งความเมตตา กรุณา ทุกคนจะเลี้ยงดูแลกันไป คนแก่เลี้ยงเด็ก คนวัยหนุ่มสาวต้องดูแลคุณย่าคุณยาย รุ่นต่อรุ่น สำคัญเด็กต้องเคารพผู้ใหญ่ ไม่มีใครเสมอใคร มีปมครอบครัวผูกพันธ์เหนีวแน่น เราแน่ใจอย่างไม่ต้องสงสัย




แสงสว่างแห่งความชื่นใจ เป็นสุขอย่างแท้ของครอบครัวปรากฎขึ้นในบ้านนี้ ในห้องอาหาร ทุกคนปลดโซ่ออกแล้วทุกคน ในบ้านนี้เราจะไม่ใช้ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยปกครองล่ามผูกพวกเราได้เมื่อพวกเราอยู่นอกบ้าน แต่ในบ้านวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมจะปกครองแทน ผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้นำที่ดี และพี่ดูแลน้อง น้องดูแลน้องเล็กคนถัดไปเท่านั้นเอง




เราสามารถเยียวยาความเจ็บปวด เปิดสะเก็ดแผลทุกคน และทายาปากแผลของทุกคน สุดท้ายพันผ้าพันแผลด้วยการสวมกอดทุกคน แค่เพียงพาพวกเราครอบครัวนี้ย้อนกลับไปเป็นเต่าโบราณ


บ้านของเราเป็นบ้านคนไทยแท้หรือ บ้านเราคงไม่เหมาะกับวิถีประชาธิปไตย เราไม่มีคำตอบให้ใคร ประชาธิปไตยอาจไม่มีภาษาคำว่าเกรงใจ หรืออย่างไร แต่เมื่อเราเอาประชาธิปไตยทิ้งไว้หน้าบ้าน ครอบครัวของเราเรียกย้อนความสุขกลับมาจริงๆ อย่างเห็นได้ชัดและรวดเร็วมาก



ไม่มีใครสนใจประเด็นนี้อีกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะพวกเราจะคุยกันถึงผู้ใหญ่ของเราที่ร่วงลับกันไปหมดแล้ว และให้คนที่ยังรู้เรื่องในวัยนั้นเล่าให้พวกเราฟังถึงประสบการณ์

ใกล้สงครามครั้งที่สองสงบแล้ว หลวงศรีปู่เป็นนายอำเภอ ยายชอบเล่นไพ่ตอง ติดการพนัน พ่อของเราขี่รถจิ๊บวิลลี่มาจีบแม่ มีคนหนึ่งทำหน้าที่คอยเก็บเรื่องราวนี้สู่รุ่นต่อไป ในห้องนั้นด้วย




ช่างดีเหลือเกิน เวลามอบเด็กชายคนหนึ่งเป็นผู้จดจำรอยอดีต เป็นรุ่นที่ห้า เด็กชายวัย 10 ขวบ หนุ่มน้อยคนนี้เป็นอนาคต... ถูกกำหนดให้เป็นผู้เก็บอดีตของครอบครัวเราไว้ทุกคนแล้ว






1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

Hello!!! I´m Ana from Argentina...Beautiful pics...

Best regards...
Ana.