วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ทุ่งใหญ่นเรศวร







ใบไม้ตกที่ทิคอง 21/2/51

เส้นทางเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเราลืมตาขึ้นในรถที่พาเราเดินทาง ภูเขาหินปูนเรียงยาวเป็นกำแพงยาวกั้นปิดบางอย่างไว้ด้านหลัง ไอหมอกหนาและบางลอยคลุมกำแพงเขาที่อยู่ข้างหน้าเป็นการบอกว่า เรามาถึงทองผาภูมิแล้วจริงๆ

ถนนทางลูกรังและฝุ่นสีแดง ฟุ้งตามล้อหลังและสะบัดจนกระจาย ผ่านหมู่บ้านทุ่งเสือโทน ป่าที่เราจากไปเสียนานจะปรากฏ ให้เห็นกันอีกครั้ง







ป่าข้างทางใบไม้สีเขียวเข้มตลอด สองข้างทาง สลับป่าที่เต็งรังเต็มไปด้วยกิ่งก้านแต่ไร้ใบ และเมื่อมาถึงป้ายทุ่งใหญ่ ป้ายอันใหม่และใหญ่มาก ป้ายหนังสือตัวโตนอนแนวสูงขวางถนนให้รถเราลอดผ่าน





นกป่าแห่งทินวยส่งเสียงคุยกันสนั่น หลายตัววนเวียนลงมาเกาะใกล้ๆมองเรา และบินเลียดต่ำๆ จากไปลงดินข้างหน้า หลอกเราให้หลงเดินเข้าไปหา เพื่อบินจากครั้งสุดท้ายไปไกลสูงสุดยอดไม้ นกปรอดดำ ปากแดง ขาแดงแจ๊ดแจ๋ นกปรอดสีเขม่าก้นแดงไม่เหมือนผาด่างบ้านเราที่เจ้านกชนิดนี้ก้นจะเป็นสีเหลือง





ลำธารทิคองเป็นสายน้ำไหลเล็กๆ ที่ชอบร้องเพลง นกนกเด้าลมหลังเทาลงเกาะหินเปียกและเย็นตรงหน้า ใกล้ๆ งดงามกับผีเสื้อสวยกลุ่มใหญ่ แสงแดดเองยังชอบแวะเวียนลงมาแตะฟังลำธารร้องเพลงด้วยเหมือนกัน

ความทรงจำในอดีต มีภาพนกกางเขนน้ำร้องเสียงเคาะแก้ว และวิ่งตัดหน้าเรา คราวนี้ไม่มีภาพและเสียงเรียกอย่างเดิม แต่เราไม่เคยเลิกหวัง แม้แต่เมื่อรถหมุน ล้อเลื่อนออกจากทิคองแล้วก็ตาม







นกอะไร ย้ายจากต้นงิ้วสูงลิ่วย้อนแสง ลงมาให้เห็นพวกเจ้าใกล้ๆ บนกิ่งไม้ไร้ใบที่เตี้ยกว่า มีแต่ดอกไม้ดอกเล็กๆสีทองเป็นแค่ช่อบางๆ ตัวนกสีเขียวใบไม้สดเท้าเกาะเกี่ยวห้อยหัว ปากโค้งงุ้มสีแดงสด ชื่อนกหกเล็ก นกกินปลีอกสีเพลิง นกแว่นตาขาว




นกขมิ้นหัวดำ ทิคองพาเจ้านกสวยสีเหลืองพิลาศตัวนี้ลงใกล้ตัวเราเพื่อจับหนอนอ้วนตัวนั้น และเราก็เหมือนจะเอื้อมจับเธอได้

และพาเราเดินตามจนพบรังรักของพวกเธอกับลูกนกตัวน้อยๆ



22/2/51 เช้าแล้ว บนเทลเดินป่าเขื่อนน้ำโจน เก้งลงกินโป่ง และตระหนกเตลิดเข้าป่าไป เรารอจนเจ้ากลับมาอีกครั้ง แต่เราต้องมีความสุภาพต่อเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม

ในป่าที่สวยงามเรากลับเป็นฝ่ายจากมามีเจ้าเพลิดเพลินกินอาหารเช้าไว้เบื้องหลัง





นกแก๊กบินข้ามฟ้าให้พวกเราเหลียวคอมองหา ดอกไม้ป่าร่วงลงพื้น และมีบ้างสวยจนเราก้มลงเก็บจากพื้น และเดินตามเก็บอีกดอก และอีกดอกที่ล่วงเลยหน้าเราไป ผ่านมาไม่กี่ก้าว ดอกไม้ป่าอีกสีก็กลาดเกลื่อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกเล็กขาวนวลๆ เกลื่อนบนทางเดินลูกรัง และเกลื่อนข้างทางในพงหญ้าแห้ง




เราแหงนหน้ามองต้นแม่ เห็นไม้ป่าเต็งรังหลายต้นหลายชนิดยืนปนในหมู่กลุ่มใกล้กัน ต่างมีสีที่แตกต่างแต่เป็นสีออกคลุมโทนส้ม น้ำตาล เหลือง และสีทอง งดงามเกินจะจากเดินไปเฉยๆ

ก่อนจะจากเทลห้วยน้ำโจน นก common hoopoe 2-3 ตัวกระโดดแตะกิ่งไม้ย้ายตัว ขยับรวมกลุ่มไปมาใกล้ๆกัน นกเองมองมาที่มนุษย์อย่างเรา เห็นภาพคนยืนและเดินย้ายตามตัวกัน เพื่อหามุมมองใกล้ๆนกกลุ่มนี้ ทั้งคนและนกต่างทำอย่างเดียวกันในป่าทุ่งใหญ่นี้

ป่าไผ่ ที่ซ้งไท้

ซ้งไท้ถูกเลือกเป็นคืนสุดท้ายเพื่อระลึกซ้อนเก็บเป็นความทรงจำ เตือนครั้งนี้เรานอนที่ไหนบ้างในป่าทุ่งใหญ่


ลำธารตรงหน้าเรา มองทางขวา น้ำวิ่งเลี้ยวไหลละเลียดมาจากโค้งซ้าย และไหลผ่านข้อเท้าเราไป เพียงชะโงกหน้ามองตามน้ำใสที่เลยผ่านไป เห็นลำน้ำลิ่ววิ่งเข้าโค้งซ้ายมือ เราตามใจอีกแล้วเดินตามสายน้ำที่ชักชวนเราด้วยเงาน้ำสีขาวราวกระจก เมื่อก้าวมาถึงเพื่อหยุด พบอีกโค้งของลำธารสวยก็ยั่วเราอีกแล้ว จะมีอะไรรอเราอยู่และจะสวยงามเหมือนที่เพิ่งก้าวย่ำมาหรือเปล่า





เราก้าวตามหาโค้งน้ำสวยระยิบระยับลึกเกินข้อเท้า เลิกขากางเกงม้วนขึ้นก้าวย่ำวางเท้าบนก้อนหินละเอียด จิกปลายเท้าในหมู่หินลื่นใต้น้ำ จนมั่นใจจึงก้าวขยับไปอย่างช้าๆ บางจุดมีกิ่งไม้ป่าที่ละเลียดผิวน้ำ มีบางกิ่งให้เราเกาะเหนี่ยว สายตาเรามองสายน้ำที่เดินทาง บางช่วงสายน้ำก็หัวเราะกับก้อนหินก้อนโต








อะไรบางอย่างขยับยืนแช่ในลำธารไม่ไกล และเราสบตากัน กวางสีดำเทาตัวใหญ่ ทั้งคู่ต่างนิ่งไม่กล้าขยับตัว กวางมองเรา เรามองกวาง ความพิเศษซึมซับลงตรงหัวใจ เรากับกวางป่า แค่สองชีวิตได้ยืนอยู่ด้วยกัน และทำได้แค่มองกันและกัน






ยามเย็นเราเดินชมป่าซ้งไท้ มีนกป่า white- bellied woodpecker ,white - rumped woodpecker ให้เราชมสลับชมไม้ป่าแห่งราศีกุม อาทิตย์ที่ส่องแสงให้ฟ้าฝั่งเดียวกันเป็นสีส้มใกล้จะลับป่าไผ่แล้ว เส้นทางของลำห้วยแห้งข้างหน้า คงเป็นที่สายน้ำเคยเดินทางผ่านมาทางนี้







วันนี้เมื่อการเดินทางของสายน้ำจบลง พร้อมกับการสิ้นสุดของฤดูวสันต์ ลำธารของสายน้ำกลายเป็นลำธารของใบไผ่ สายลมช่วยละบัดหมู่ใบไผ่ที่รอร่วงจากต้นและคว้างปลิวตามแต่ลมจะพัดพาลงและไหลนอนกองทับถมจนไม่เห็นผิวดิน ลำธารใบไผ่ข้างหน้าเราเป็นสีน้ำตาลทองอ่อนๆ เมื่อเราเดินเหยียบย่ำก้าวแต่ละก้าว ใบไผ่ใต้เท้าก็ส่งเสียง เสียงนั้นคล้ายกระดาษที่ถูกบิดให้เราฟัง





23/2/51 นกป่ามากมายพากันบินให้เราได้พบกันตั้งแต่เราก้าวเท้าเข้ามา และเกือบสุดท้ายของแสงตะวันของวันนี้ นกไต่ไม้ เจ้าคือผู้มาล่ำลา เราอยู่เพียงดิน เจ้าเกาะเดินข้างไม้เต็งสูง และโผไปหาอีกต้นหายลับไปในพุ่มใบหนา

เมื่อเกือบสุดท้ายของแสงเรืองๆ เหมือนบอกว่า หากตะวันหมดแสงลง การจากกันจะมาแทนที่การมองหาเพื่อนนกทุกตัวแล้ว





ยามเย็นมาถึงแล้ว เราละเลียดในป่าทุ่งใหญ่อีกไม่ได้แล้ว ไม่มีเหตุผลที่เราจะอ้างได้ เจ้าแห่งเวลาพาพวกเรากลับมาถึงปลายปากทาง ส่งเราหันหลังออกจากป่าแห่งนี้อีกครั้งนี้




…. ไม่มีความจำเป็นที่จะมองย้อนหันหลังกลับไปมอง เราให้เหตุผลได้ว่า เมื่อมาถึงประตูแห่งทุ่งใหญ่นเรศวร เราเฝ้าจมตัวเองฝังร่างเข้าป่าทุ่งใหญ่ ตั้งแต่วินาทีที่เห็นป้ายเข้าเขตทุ่งใหญ่ เราสูดกลิ่นใบไม้ทุกใบ เรามองต้นไม้ทุกตันที่มองเห็น มองหากล้วยไม้ป่าสีใดช่อไหนจะเป็นช่อแรกของการพบเห็น และสัญญาว่าจะมองทุกช่อเพื่อจดจำช่อใดจะเป็นช่อสุดท้ายให้กล่าวลา


กาลเวลากำหนดตัวเราเพื่อกลับมาอยู่กับป่าทุ่งใหญ่อีกครั้ง แต่มีความแตกต่างออกไป เราสามารถมีตัวหนังสือเป็นเพื่อนเชื่อมร้อยเรียงเรื่องของป่าทุ่งใหญ่กับตัวเรา เพื่อนตัวหนังสือสามารถทวนความรักของเราได้ไม่รู้จบ










































































































































































































































ไม่มีความคิดเห็น: