วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550

นาฬิกา

แก้มสาวหนุ่มไผ่

ชีวิตคู่ที่เลือกร่วมเดินทางไปด้วยกันและมีความยากจนเป็นเพื่อน บางวันรายได้ที่ได้รับมาจากการรับจ้างทำงานในผาด่าง เสียงของแก้มโหวกเหวก บอกความเป็นคนตรงไปตรงมา ส่วนหนุ่มไผ่ คนซื่อ คล่องแคล่ว แข็งแรง แต่ทิศทางของชีวิตหนุ่มคนนี้ ขาดผู้ชี้แนะและเพราะความอดอยากทำให้เส้นทางของชีวิตบิดเบี้ยว แต่โดยเนื้อแท้คือความเป็นคนดีอยู่บ้าง บางอย่างในชีวิตได้หมุนกลับ กลายเป็นชายหนุ่มที่มุ่งมั่นทำแต่งานเพื่อสร้างครอบครัว


วันนี้หน้าร้านค้าผาด่าง ทั้งคู่มากันอีกแล้ว หน้ารถเครื่องมีถุงข้าวห่อเต็มหน้ารถ เราเอิ้นถามจะไปแรงแล้วหรือ(หมายความว่า รับจ้างทำงานรายวัน )ทั้งคู่หันมายิ้มกว้างเป็นพิเศษ หนุ่มไผ่เดินเข้าไปหยิบนาฬิกาไม้ตั้งโต๊ะสูง12นิ้ว ที่ตั้งในครัวผาด่าง อุ้มแนบอกแล้วเอาเสื้อแจ๊กเก็ตกันลมปิดทับ หันมายิ้มอีกที

ก่อนขึ้นรถเครื่อง ขับรถด้วยมือเดียว อีกมือประคองนาฬิกาเรือนโตนั้นไว้อย่างกลัวหล่น มุ่งออกไปทางทิศสู่ไร่สับปะรด มีสาวชื่อแก้ม เกาะบ่าหนุ่มนั่งซ้อนท้าย ก่อนทิ้งฝุ่นให้เราและความสงสัย เอานาฬิกาไม้ในผาด่างไปทำไม


ค่ำคืนนี้ ใต้แสงเทียน พวกเราดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เอาฟ้าเป็นหลังคา เสียงพูดคุยเฮฮา สลับเสียงหัวเราะ ชาวผาด่างช่วยกันสรุปแผนงาน ที่ผ่านมา และจุดที่ต้องแก้ไขเพื่อพัฒนาการบริการในผาด่าง

เรื่องที่เราคาใจ มาเอานาฬิกาไม้เรือนโตเอาไปทำไม ไปไหนอย่างไร หนุ่มไผ่เริ่มเมาแล้ว บอกกับพวกเราว่า ไปรับจ้าง แต่คิดเป็นชั่วโมง ไม่มีนาฬิกาข้อมือ ในไร่สับปะรดก็ไม่มีใครอื่นนอกจากไอ้แก้ม

นาฬิกาเรือนโตบอกเวลาและบอกได้ว่าจะได้เงินกี่บาทในวันนี้ เงินที่จะได้รับในวันนั้นเป็นค่าข้าวค่าอาหารในแต่ละมื้อ ขอมีกินแค่วันนี้ (พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง เป็นบางอย่างที่เราคำนึงต่อท้าย)




กลางแดดมีตะวันสาดแสงร้อนอาบไร่สับปะรดมีเพียงสองคน กับเวลาที่กะประมาณพอได้

นี่เป็นความซื่อ หรือความโง่ หรือความบื้อ

ในใจเท่านั้น ที่เห็นความซื่อสัตย์ในตัวตนของคนคู่นี้ กลางโต๊ะกินข้าวชาวผาด่าง ทุกคนต่างเก็บความชื่นชมนี้ไว้ในใจ ก่อนช่วยกันเก็บโต๊ะทำความสะอาดและแยกย้ายกันกลับไปนอน

ไม่มีความคิดเห็น: